วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กิจกรรมที่3 ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

กิจกรรมที่3


ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

          1. คัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ
          2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
          3. จัดทำเค้าโครงของโครงงาน
          4. การลงมือทำโครงงาน
          5. การเขียนรายงาน
          6. การนำเสนอและแสดงโครงงาน

1. คัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ 
          โดยทั่วไปเรื่องที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ มักจะได้มาจากปัญหา คำถาม หรือความสนใจในเรื่องต่างๆ จากการสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ หรือสิ่งต่างๆ รอบตัว ปัญหาที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ได้จากแหล่งต่างๆ กัน ดังนี้ 

          1. การอ่านค้นคว้าจากหนังสือ เอกสาร หนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่างๆ
          2. การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ
          3. การฟังบรรยายทางวิชาการ รายการวิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งการสนทนาอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเพื่อนนักเรียนหรือกับบุคคลอื่นๆ
          4. กิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียน
          5. งานอดิเรกของนักเรียน
          6. การเข้าชมงานนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์

ในการตัดสินใจเลือกหัวข้อที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ควรพิจารณาองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
          1. ต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานอย่างเพียงพอในหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา
          2. สามารถจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้
          3. มีแหล่งความรู้เพียงพอที่จะค้นคว้าหรือขอคำปรึกษา
          4. มีเวลาเพียงพอ
          5. มีงบประมาณเพียงพอ
          6. มีความปลอดภัย 


2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล 
          การศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล ซึ่งรวมถึงการขอคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จะช่วยให้นักเรียนได้แนวคิดที่ใช้ในการกำหนดขอบเขตของเรื่องที่จะศึกษาได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่จะศึกษาจนสามารถใช้ออกแบบและวางแผนดำเนินการทำโครงงานนั้นได้อย่างเหมาะสม ในการศึกษาจะต้องได้คำตอบว่า

          1. จะทำ อะไร
          2. ทำไมต้องทำ
          3. ต้องการให้เกิดอะไร
          4. ทำอย่างไร
          5. ใช้ทรัพยากรอะไร
          6. ทำกับใคร
          7. เสนอผลอย่างไร 

3. องค์ประกอบของเค้าโครงของโครงงาน 




 4. การลงมือทำโครงงาน 
          เมื่อเค้าโครงของโครงงานได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ก็เสมือนว่าการจัดทำโครงงานได้ผ่านพ้นไปแล้วมากกว่าครึ่ง ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการลงมือพัฒนาตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ ดังนี้

     4.1 การเตรียมการ 
          การเตรียมการ ต้องเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุอื่นๆ ที่จะใช้ในการพัฒนาให้พร้อมด้วย และควรเตรียมสมุดบันทึกหรือบันทึกเป็นแฟ้มข้อความไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับบันทึกการทำกิจกรรมต่างๆ ระหว่างทำโครงงาน ได้แก่ ได้ปฏิบัติอย่างไร ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและแก้ไขได้หรือไม่อย่างไร รวมทั้งข้อสังเกตต่างๆ ที่พบ

     4.2 การลงมือพัฒนา 
          1. ปฏิบัติตามแผนงานที่วางไว้ในเค้าโครง แต่อาจเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมได้ถ้าพบว่าจะช่วยทำให้ผลงานดีขึ้น
          2. จัดระบบการทำงานโดยทำส่วนที่เป็นหลักสำคัญๆ ให้แล้วเสร็จก่อน จึงค่่อยทำ ส่วนที่เป็นส่วนประกอบหรือส่วนเสริมเพื่อให้โครงงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น และถ้ามีการแบ่งงานกันทำ ให้ตกลงรายละเอียดในการต่อเชื่อมชิ้นงานที่ชัดเจนด้วย
          3. พัฒนาระบบงานด้วยความละเอียดรอบคอบ และบันทึกข้อมูลไว้อย่างเป็นระบบและครบถ้วน 

     4.3 การทดสอบผลงานและแก้ไข 
          การตรวจสอบความถูกต้องของผลงาน เป็นความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าผลงานที่พัฒนาขึ้นทำงานได้ถูกต้องตรงกับความต้องการ ที่ระบุไว้ในเป้าหมายและทำด้วยประสิทธิภาพสูงด้วย 

     4.4 การอภิปรายและข้อเสนอแนะ 
          เมื่อพัฒนาผลงานเรียบร้อยแล้ว ให้จัดทำสรุปด้วยข้อความที่สั้นกะทัดรัดอย่างครอบคลุม เพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงสิ่งที่ค้นพบจากการทำโครงงาน และทำการอภิปรายผลด้วย เพื่อพิจารณาข้อมูลและผลที่ได้ พร้อมกับนำ ไปหาความสัมพันธ์กับหลักการ ทฤษฎี หรือผลงานที่ผู้อื่นได้ศึกษาไว้แล้ว ทั้งนี้ยังรวมถึงการนำหลักการ ทฤษฎี หรือผลงานของผู้อื่นมาใช้ประกอบการอภิปรายผลที่ได้ด้วย

     4.5 แนวทางการพัฒนาโครงงานในอนาคตและข้อเสนอแนะ 
          เมื่อทำโครงงานเสร็จสิ้นลงแล้ว นักเรียนอาจพบข้อสังเกต ประเด็นที่สำคัญ หรือปัญหา ซึ่งสามารถเขียนเป็นข้อเสนอแนะและสิ่งที่ควรจะศึกษาและหรือใช้ประโยชน์ต่อไปได้  

5. การเขียนรายงาน 
          การเขียนรายงานเป็นวิธีการสื่อความหมายเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวคิด วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น ในการเขียนรายงานนักเรียนควรใช้ภาษาที่อ่านง่าย ชัดเจน กระชับ และตรงไปตรงมา ให้ครอบคลุมหัวข้อต่างๆเหล่านี้

     5.1 ส่วนนำ 
          ส่วนนำ เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงงานนั้นซึ่งประกอบด้วย
          1. ชื่อโครงงาน
          2. ชื่อผู้ทำโครงงาน
          3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา
          4. คำขอบคุณ เป็นคำกล่าวขอบคุณบุคคลหรือหน่วยงาน ที่มีส่วนช่วยทำให้โครงงานสำเร็จ
          5. บทคัดย่อ อธิบายถึงที่มา ความสำคัญ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการ และผลที่ได้โดยย่อ

     5.2 บทนำ 
          บทนำเป็นส่วนรายละเอียดของเนื้อหาของโครงงานซึ่งประกอบด้วย
          1. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
          2. เป้าหมายของการศึกษาค้นคว้า
          3. ขอบเขตของโครงงาน

     5.3 หลักการและทฤษฎี           หลักการและทฤษฎี เป็นส่วนสรุปข้อมูลที่ได้จากการศึกษาหาข้อมูลหรือหลักการ ทฤษฎี หรือวิธีการที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาโครงงาน ซึ่งรวมถึงการระบุผลงานของผู้อื่นที่นักเรียนนำมาเปรียบเทียบหรือพัฒนาเพิ่มเติมด้วย 
     5.4 วิธีดำเนินการ 
          วิธีดำเนินการ อธิบายขั้นตอนการดำเนินงานโดยละเอียด พร้อมทั้งระบุปัญหาหรืออุปสรรคที่พบพร้อมทั้งวิธีการที่ใช้แก้ไข พร้อมทั้งระบุวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการทำงาน  

     5.5 ผลการศึกษา
          ผลการศึกษา นำเสนอข้อมูลหรือระบบที่พัฒนาได้ โดยอาจแสดงเป็นตาราง หรือ กราฟ หรือข้อความ ทั้งนี้ให้คำนึงถึงความเข้าใจของผู้อ่านเป็นหลัก  

     5.6 สรุปผลและข้อเสนอแนะ 
          สรุปผลและข้อเสนอแนะ อธิบายผลสรุปที่ได้จากการทำ งาน ถ้ามีการตั้งสมมติฐานควรระบุด้วยว่าข้อมูลที่ได้สนับสนุนหรือคัดค้านสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือยังสรุปไม่ได้ นอกจากนั้นยังควรกล่าวถึงการนำ ผลการทดลองหรือพัฒนาไปใช้ประโยชน์ อุปสรรคของการทำโครงงาน หรือข้อสังเกตที่สำคัญ หรือข้อผิดพลาดบางประการที่เกิดขึ้นจากการทำ โครงงานนี้ รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไขหากจะมีผู้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องทำนองนี้ต่อไปในอนาคตด้วย  

     5.7 ประโยชน์ 
          ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน ระบุประโยชน์ที่นักเรียนได้รับจากการพัฒนาโครงงานนั้น และประโยชน์ที่ผู้ใช้จะได้รับจากการนำผลงานของโครงงานไปใช้ด้วย  

     5.8 บรรณานุกรม 
          บรรณานุกรม รวบรวมรายชื่อหนังสือ วารสาร เอกสาร หรือเว็บไซด์ต่างๆ ที่ผู้ทำ โครงงานใช้ค้นคว้า หรืออ่านเพื่อศึกษาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ที่นำมาใช้ประโยชน์ในการทำ โครงงานนี้การเขียนเอกสารบรรณานุกรมต้องให้ถูกต้องตามหลักการเขียนด้วย  

     5.9 การจัดทำคู่มือการใช้งาน 
          หาโครงงานที่นักเรียนจัดทำ เป็นการพัฒนาระบบใหม่ขึ้นมา ให้นักเรียนจัดทำคู่มืออธิบายวิธีการใช้ผลงานนั้นโดยละเอียด ซึ่งประกอบด้วย
          1. ชื่อผลงาน
          2. ความต้องการของระบบคอมพิวเตอร์ ระบุรายละเอียดของคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีเพื่อจะใช้ผลงานนั้นได้
          3. ความต้องการของซอฟต์แวร์ ระบุรายชื่อซอฟต์แวร์ที่ต้องมีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อจะให้ผลงานนั้นทำงานได้อย่างสมบูรณ์
          4. คุณลักษณะของผลงาน อธิบายว่าผลงานนั้นทำ หน้าที่อะไรบ้าง รับอะไรเป็นข้อมูลขาเข้าและส่วนอะไรออกมาเป็นข้อมูลขาออก
          5. วิธีการใช้งานของแต่ละฟังก์ชัน อธิบายว่าจะต้องกดคำสั่งใด หรือกดปุ่มใด เพื่อให้ผลงานทำงานในฟังก์ชันหนึ่งๆ 
  

6. การนำเสนอและแสดงโครงงาน 
          การนำเสนอและการแสดงผลงานเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งของการทำโครงงาน เพื่อแสดงออกถึงผลิตผลความคิด ความพยายามในการทำงานที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเท และเป็นวิธีทำให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจถึงผลงานนั้น การเสนอผลงานอาจทำได้ในหลายรูปแบบต่างๆ กัน เช่น การแสดงผลงานโดยไม่มีการอธิบายประกอบการรายงานด้วยคำพูดในที่ประชุม การจัดนิทรรศการโดยโปสเตอร์และอธิบายด้วยคำพูด เป็นต้น โดยผลงานที่นำมาเสนอหรือจัดแสดงควรประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
          1. ชื่อโครงงาน
          2. ชื่อผู้จัดทำโครงงาน
          3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา
          4. คำอธิบายถึงที่มาและความสำคัญของโครงงาน
          5. วิธีการดำเนินการที่สำคัญ
          6. การสาธิตผลงาน
          7. ผลการสังเกตและข้อสรุปสำคัญที่ได้จากการทำโครงงาน


ที่มา http://www.acr.ac.th/acr/ACR_E-Learning/CAREER_COMPUTER/COMPUTER/M4/ComputerProject/content2.ht

กิจกรรมที่5 พรบ คอมพิวเตอร์2558

พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2558 

         พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค. เป็นต้นไป

               “หัวใจหลักของกฎหมายลิขสิทธิ์อยู่ที่การห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ต่อสาธารณะ แต่ก็มีข้อยกเว้นคือหากไม่ใช่การทำเพื่อการค้า ต้องมีการอ้างอิงที่มาก่อน สามารถทำได้ ภายใต้ข้อยกเว้นคือต้องไม่ทำให้ผลประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์ลดลง หรือกระทบกระเทือนถึงสิทธิ์ของเจ้าของ”

1.ลิขสิทธิ์คุ้มครอง คือ ต้องเป็นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่รวมถึงกระบวนการคิดหรือหรือขั้นตอนการสร้างสรรค์ เช่น บทความ ซอฟต์แวร์ เพลง หนังสือ รูปภาพ ภาพถ่าย ภาพข่าว ภาพวาด ภาพยนตร์ ละคร เป็นต้น



2.ลิขสิทธิ์ไม่คุ้มครอง เช่น ข่าวประจำวัน,ข้อเท็จจริงต่างๆ,รัฐธรรมนูญ และกฎหมายระเบียบข้อบังคับ,ประกาศ,คำสั่ง,คำพิพากษา,คำวินิจฉัย,และรายงานของทางราชการ เป็นต้น



3.ห้ามลบ หรือเปลี่ยนแปลง ชื่อเจ้าของลิขสิทธ์


                                                 https://pixabay.com/p-147409/?no_redirect
4.ห้ามทำลาย Password ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ใช้ป้องกันการเข้าถึง การแฮ็กหรือหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี เพื่อเข้าถึงงานลิขสิทธิ์


                           http://ray.tookjai.net/wp-content/uploads/2015/06/Password_Pic.jpg
5.การดูหนัง ฟังเพลง จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ถือว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ห้ามทำซ้ำ


http://www.thaiware.com/upload_misc/software/2014_05/images/998_14051320342280.jpg

6.ผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต เช่น Youtube ถ้าเอางานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากเว็บ ถือว่าไม่ผิด


7.สามารถนำรูปภาพ หนังสือ ซีดีเพลง ไปขายมือสองได้ แต่ต้องดูกฏหมายอื่นๆ รองรับด้วย

8.นักแสดงมีสิทธิระบุชื่อตัวเองในการแสดง และห้ามไม่ให้ใครทำเสียชื่อเสียง



9.ถ้าปรากฎหลักฐานว่าจงใจละเมิด ศาลสั่งให้จ่ายค่าเสียหายเพิ่มขึ้น ไม่เกิน2 เท่า
10.การนำ Embed ใน Youtube มาลงเว็บไซต์หรือแชร์ ถือว่าไม่ละเมิด
11.ศาลมีอำนาจ สั่งริบ หรือทำลายสื่งที่ละเมิด ผู้กระทำผิดใหม่ มีโทษปรับ 10,000-100,000บาท
หากกระทำเพื่อเชิงพาณิชย์ มีโทษจำคุก เดือน -2ปี หรือปรับ 50,000-400,000บาท หรือทั้งจำและปรับ


แหล่งที่มาhttp://www.bolliger-consulting.com/seminar/data/seminar/images/landing-logo.png
https://www.youtube.com/watch?v=dLsxkrOfyJw

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

กิจกรรมที่2 ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์


ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์



โครงงานคอมพิวเตอร์  แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานดังนี้
-   การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
-   การพัฒนาเครื่องมือ
-   การทดลองทฤษฎี
-   การประยุกต์ใช้งาน
-   การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์



1.      โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษาโดยการสร้างโปรแกรมบทเรียนหรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มการสอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ ถือว่าคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบออนไลน์ ให้ผู้เรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้ โครงงานประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่างๆ โดยผู้เรียนอาจคัดเลือกเนื้อหาที่เข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา อีกทั้งยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกกลุ่มสาระ เช่นวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องวิวัฒนาการ เราอาจทำการออกแบบสื่อนี้ให้มีความน่าสนใจมีลูกเล่นแปลกใหม่ ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้และง่ายต่อการจดจำมากยิ่งขึ้น


 
รูปภาพจาก : http://media.nitessurat1.org/mc/mc_view.php?mc_id=4 


2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ เป็นโครงงานที่สร้างเครื่องมือ ใช้สร้างงาน ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของซอฟต์แวร์ เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป  ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน และซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ เป็นต้น การผลิตโครงงานประเภทนี้สามารถเพิ่มความสะดวกสบายในการสร้างผลงานที่จำเป็นต้องอาศัยความละเอียด สะดวก และรวดเร็วแม่นยำ เช่นโปรแกรมสร้างรูปทรงหลายมิติที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ซึ่งโปรแกรมนี้จะช่วยให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ผู้ใช้งานต้องกำหนดสเกลและรูปทรงที่ต้องการจากนั้นโปรแกรมก็จะประมวลผลและสร้างรูปทรงออกมา เป็นต้น

รูปภาพจาก : http://www.freewarelands.com/



3. โครงงานประเภทการทดลองทฤษฎี เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลองของสาขาต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่ไม่สามารถทดลองด้วยสถานการณ์จริงได้ เช่น การจุดระเบิด เป็นต้น และเป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริง และแนวคิดต่างๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษาแล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคำอธิบาย พร้อมทั้งารจำลองทฤษฏีด้วยคอมพิวเตอร์ให้ออกมาเป็นภาพ ภาพที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปตามสูตรหรือสมการนั้น ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่างโครงงานจำลองทฤษฎี เช่น การทดลองเรื่องการไหลของของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาปิรันย่า และการทดลองเรื่องการมองเห็นวัตถุแบบสามมิติ เป็นต้น 

รูปภาพจาก : http://benyapazz.blogspot.com/2012/08/6-theory-experiment-credit-httptc.html



4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจำวันอาทิเช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งภายในอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี และซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ซึ่งอาจเป็นการคิดสร้างสิ่งของขึ้นใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อการจัดการงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันตามลักษณะของซอฟแวร์และการนำไปใช้งาน

รูปภาพจาก : http://www.dimonload.com/index.php?topic=96.0



5. โครงงานพัฒนาเกม เพื่อความรู้ ความเพลิดเพลิน เช่นการสร้างเกมต่าง ๆ ที่จะทำให้ผู้เล่นได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนานจากเกม ไม่ว่าจะเป็นเกมทายศัพท์ เกมจับคู่ เกมฝึกสมองพัฒนาอีคิว ซึ่งเกมเหล่านี้ล้วนมาจากการประยุกต์ใช้ความรู้จากโครงงานหลายประเภท จนสามารถนำมาพัฒนาเป็นเกมซึ่งสร้างสรรค์ออกมาเพื่อให้ผู้เล่นได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนานไปพร้อม ๆ กัน


รูปภาพจาก : http://takathenec.exteen.com/20100105/game-2009

คลิปวิดีโอ ประเภทต่างๆของโครงงานคอมพิวเตอร์

https://www.youtube.com/watch?v=nqESB3dwZTY



แหล่งอ้้างอิง http://toffykz.blogspot.com/2012/08/3.html

http://dreamjews.blogspot.com/2015/06/educational-media.html

กิจกรรมที่1

โครงงานคอมพิวเตอร์
     หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข




ความสำคัญของโครงงานคอมพิวเตอร์

ความสำคัญของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ ผลงานที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถของผู้เรียน โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานจึงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะหาหัวข้อโครงงานที่ตนเองสนใจ รวมทั้งเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ และความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างผลงานตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำ
ความสามารถที่เกิดจากการทำโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1.ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถที่เกิดจากการที่นักเรียนเป็นผู้ทำโครงงานต้องนำเสนอผลงานให้ ครูและเพื่อนนักเรียนให้เข้าใจโครงงานคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้ทำโครงงานต้องสื่อสารความคิดในการสร้างสรรค์โครงงานด้วยการเขียน หรือด้วยปากเปล่า รวมทั้งเลือกใช้รูปแบบของสื่ออย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำเสนอแนวคิดในการจัด โครงงานให้ผู้อื่นได้เข้าใจ
2.ความสามารถในการคิด ซึ่งผู้เรียนจะมีการคิดในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
  1. การคิดวิเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ปัญหาและแยกแยะสาเหตุว่าเกิดเนื่องจากอะไร
  2.  การคิดสังเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องนำความรู้ต่าง ๆ ที่เรียนมา รวมทั้งความรู้จากการค้นหาข้อมูล เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือการสร้างสรรค์โครงงาน
  3. การคิดอย่างสร้างสรรค์ เกิดจากการที่ผู้เรียนนำความรู้มาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ
  4. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เกิดจากการที่ผู้เรียนได้มีการคิดไตร่ตรองว่าควรทำโครงงานใดและไม่ควรทำโครง งานใด เนื่องจากโครงงานที่สร้างขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เช่น โครงงานระบบคำนวณเลขหวย สำหรับหาเลขที่คาดว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลจะออกในแต่ละงวด อาจส่งผลกระทบต่อสังคม ทำให้คนในสังคมเกิดความหมกมุ่นในกับการใช้เงินเล่นหวยมากขึ้น
  5. การคิดอย่างเป็นระบบ เกิดจากการที่ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้ขั้นตอนในการพัฒนาโครงงาน คือ ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษา ค้นคว้า เก็บรวบรวมข้อมูล พัฒนา หรือประดิษฐ์คิดค้นผลงาน รวมทั้งการสรุปผลและการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้คำปรึกษา
3.ความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดจากการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหา เข้าใจ และอธิบายปัญหาทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งประยุกต์ความรู้ ทักษะ และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหา
4.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เกิดจากการที่ผู้เรียนได้นำความรู้และกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการพัฒนาโครงงาน และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาโครงงาน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง อันนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เกิดจากการที่ผู้เรียนสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการแก้ปัญหาได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม

ขอบข่ายของโครงงาน

มีองค์ประกอบดังนี้
1. เป็นกิจกรรมการเรียนให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติดัวยตนเองโดยอาศัยหลักวิชาการทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆ หรือจากประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้พบเห็นมากแล้ว
2. นักเรียนทุกคนพิจารณาจัดทำโครงงานด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่มโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เป็นภาคเรียน หรือมากว่าก็ได้ แล้วแต่โครงงานเล็กหรือใหญ่
3. นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัด สนใจ และความพร้อม
4. นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงาน แผนปฏิบัติงานและการแปลผล รายงานผลต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานร่วมกันให้บรรลุตามจุดหมายที่กำหนดไว้
5. เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัยและสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดำเนินงานด้วย


ตัวอย่างโตรงงานคอมพิวเตอร์


..... อ่านต่อได้ที่: 
https://www.gotoknow.org/posts/314100
http://www.acr.ac.th/acr/ACR_E-Learning/CAREER_COMPUTER/COMPUTER/M4/ComputerProject/content1.html
https://krudarin.wordpress.com/%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B8%B4/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1/

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ข้อสอบ 7 วิชาสามัญ


วิชาสามัญ

วิชาสามัญ คืออะไร และต้องสอบทั้ง วิชาเลยไหม

        สทศ. บอกมาว่าเป็นข้อสอบที่ยากกว่า O-NET แต่ง่ายกว่า GAT PAT จัดทำขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาในอดีตที่สมัยก่อนหากเด็ก ม.สมัครรับตรง ที่ ก็ต้องวิ่งหัวฟูไปสอบ ครั้ง แต่หากเป็นแบบนี้สบายมาก ไม่ว่าจะสมัครกี่ที่ ก็สอบแค่ครั้งเดียวจบ คือ สอบ วิชาสามัญครั้งเดียว ชุดเดียว ทั่วประเทศจบไปเลย โดย วิชาสามัญนี้แต่ละคณะจะสอบไม่เท่ากัน  บางคณะก็สอบหมด วิชา บางคณะก็สอบแค่ ดังนั้น น้องๆ ต้องไปดูในระเบียบการรับตรงแต่ละมหาวิทยาลัย ว่าคณะที่เราจะเข้า เขาได้มากำหนดให้สอบวิชาไหน ส่วนมหาวิทยาลัยไหนไม่กำหนด ก็ไม่ต้องสอบจ้า

ใครต้องสมัครบ้าง
        คนที่สมัครได้คือ น้องๆ ม.ปวช. กศน. หรือพี่ๆ เด็กซิ่ว พ่อแม่ที่จบสูงกว่า ม.ขึ้นไปจ้า


มหาวิทยาลัยไหนต้องใช้คะแนน วิชาสามัญนี้บ้าง
        มีประมาณ แห่ง ยกตัวอย่างเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะอักษรศาสตร์ - คณะนิติศาสตร์ - คณะเศรษฐศาสตร์ - คณะวิทยาศาสตร์ - คณะครุศาสตร์) มหาวิทยาลัยศิลปากร (คณะอักษรศาสตร์ - คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร - คณะวิทยาการจัดการ - คณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร - คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม - คณะวิทยาศาสตร์ - คณะศึกษาศาสตร์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (คณะสหเวชศาสตร์) รับตรง กสพท. (คณะแพทยศาสตร์ - คณะทันตแพทยศาสตร์) และยังมีอีกหลายวิทยาลัยนะครับ น้องๆ อย่าลืมไปเช็คที่เว็บมหาวิทยาลัยนั้นๆ ด้วยนะ

วิชาสามัญกับเคลียริ่งเฮ้าส์ มันคืออันเดียวกันไหม
        คนละอันกัน พูดง่ายๆ ก็คือ วิชาสามัญเป็นส่วนหนึ่งในระบบเคลียริ่งเฮ้าส์ โดยยกตัวอย่างว่า ระบบ "เคลียริ่งเฮ้าส์" จะเป็นระบบที่เปิดให้น้องๆ มายืนยันสิทธิ์เข้าศึกษาได้เพียงแค่ คณะเท่านั้น เช่น พี่ลาเต้ วิ่งสอบรับตรงทั่วประเทศติดทั้งหมด มหาวิทยาลัย โดย มหาวิทยาลัยที่ติดนั้นเข้าร่วม "เคลียริ่งเฮ้าส์" ทั้งหมด พอถึงเวลาที่ยืนยันสิทธิ์ พี่ลาเต้ ก็เลือกได้แค่ แห่งเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก แห่งก็จะกลายเป็นที่นั่งว่าง และรับเพิ่มในรอบแอดมิชชั่นกลางต่อไป ซึ่งต่างจากปีก่อนๆ ที่หากสอบตรงติด ที่ ก็ยืนยันสิทธิ์มัน ที่ไปเลยก็ได้ จนอาจเป็นกักที่คนอื่นในที่สุด T^T ส่วน วิชาสามัญ เป็นข้อสอบ วิชาที่จัดสอบโดย สทศ. ออกมาเพื่อลดปัญหาการวิ่งรอกสอบของน้องๆ และลดภาระการจัดสอบของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นเอง 

คณะไหน ที่สอบทั้ง GAT/PAT 7 วิชาสามัญ แถมยังเข้าเคลียริ่งเฮ้าส์ไหม
        มีครับ หลายคณะเลย พี่ขอยกตัวอย่างเป็นคณะสหเวชศาสตร์ ธรรมศาสตร์ดีกว่า น้องๆ ที่สอบคณะนี้ก็ใช้ชีวิตตามปกติไปสอบ GAT PAT ในเดือน พ.ย. 54 จากนั้นเดือน ม.ค. 55 ก็ไปสอบ วิชาสามัญ (รู้สึกสหเวชฯ จะใช้แค่ วิชา) ซึ่งหลังจากที่กระบวนสอบต่างๆ เสร็จ ก็จะมีการประกาศผลว่าใครติด หรือไม่ติด (หากติดก็ดีใจด้วย เย้ เย้) จากนั้นประมาณเดือนมีนาคมปี 55 น้องๆ ที่ติดผ่านรับตรงของสหเวชฯ ม.ธรรมศาสตร์ ก็จะต้องไปยืนยันสิทธิ์ในระบบ "เคลียริ่งเฮ้าส์" ทางเว็บไซต์ของ สอท.เพื่อยืนยันว่าจะเลือกศึกษาเข้าที่ไหน ไม่ว่าเราจะติดกี่มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่จะติดแค่มหาลัยเดียว ก็ต้องยืนยันสิทธิ์ครับ เพราะไม่งั้นอดเรียนแน่ๆ

สมัครที่ไหน อย่างไร
        ขั้นตอนการสมัคร จะเหมือนกันกับสมัคร GAT PAT เลยครับ มีให้เลือกสนามสอบด้วยนะ ระบบจะเปิดให้สมัครตั้งแต่วันที่ 1 - 30 ตุลาคม 54 และสอบในต้นเดือนมกราคม 55 ส่วนค่าสมัครวิชาละ 100 บาทคร้าบ อ๋อๆ สนามที่ใช้สอบเบื้องต้นมี ศูนย์นะครับ คือ กรุงเทพฯ (สนามสอบจุฬาฯ ธรรมศาสตร์) ขอนแก่น (ม.ขอนแก่น) เชียงใหม่ (ม.เชียงใหม่) พิษณุโลก (ม.นเรศวร) และสงขลา (มอ.หาดใหญ่) ซึ่งหากมียอดผู้สมัครมาก ทาง สทศ.อาจเพิ่มสนามสอบให้ครับ รอติดตามๆ ว่าแล้วก็ไปสมัครกันเลยที่เว็บ www.niets.or.th



วิชาสามัญ ใช้ยื่นที่ไหนได้บ้าง?
 
>> ข้อมูลปี 58
       แพทย์ กสพท. 22 มหาลัย/สถาบัน
       จุฬาฯ รับตรงปกติ
       มหิดล รับตรง
       ธรรมศาสตร์ รับตรงบางคณะ เช่น สหเวช ศิลปศาสตร์
       เกษตรศาสตร์ รับตรงเกือบทุกคณะ
       มศว. รับตรง
       มจธ. บางมด รับตรง คณะวิทย์
       และโครงการรับตรง อีกหลายๆ มหาวิทยาลัย

 ***ตรวจสอบว่าคณะไหน ใช้คะแนนวิชาอะไรบ้าง


เนื้อหาข้อสอบ 7 วิชาสามัญ

เนื้อหาการสอบ วิชาสามัญ
แบบปรนัย
แบบอัตนัย
คะแนนเต็ม
ภาษาไทย
50 ข้อ 100 คะแนน
100
1. การอ่าน
2. การเขียน
3. การฟัง และการพูด
4. หลักการใช้ภาษา

สังคมศึกษา
50 ข้อ 100 คะแนน
100
1. ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม



2. หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม



3. เศษฐศาสตร์



4. ประวัติศาสตร์



5. ภูมิศาสตร์




อังกฤษ
80 ข้อ 100 คะแนน

100
1. Listening -Speaking Skills



- Everyday communication



- Academic-communication



2. Reading Skills



- Academic



- General



3. Writing Skills



- Academic



- General




คณิตศาสตร์
20 ข้อ 80 คะแนน
10 ข้อ 20 คะแนน
100
1. ความรู้พื้นฐาน เซตและการดำเนินการของเซต ตรรกศาสตร์ ฟังชันก์



2. ระบบจำนวน



3. เรขาคณิต



4. พืชคณิต



5. ความน่าจะเป็นและสถิติ



6. แคลคูลัส



7. ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์




ฟิสิกส์
25 ข้อ 100 คะแนน

100
1. กลศาสตร์ - จลนศาสตร์ แรงและการเคลื่อนที่ แรงต้านการเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่แบบวงกลม การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ การเคลื่อนที่แบบมีคาบ (การเคลื่อนที่แบบกวัดแกว่ง) การหมุน สมดุล งาน-พลังงาน โมเมนตัมและการชน



2. สมบัติของสสาร ความหยืดหยุ่น - กลศาสตร์ ของไหล คลืน แสง เสียง



3. ไฟฟ้า - ไฟฟ้าสถิต ไฟฟ้ากระแสตรง ไฟฟ้ากระสลับ
แม่ เหล็ก - แรงแม่เหล็ก สนามแม่เหล็ก การเหนี่ยวนำ มอเตอร์/ไดนาโม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟิสิกส์ยุคใหม่ - แบบจำลองอะตอม ฟิสิกส์ควอนตัม สมการปฏิกิริยานิวเคลียร์ การสลายตัวของนิวเคลียส




เคมี
50 ข้อ 100 คะแนน

100
1. อะตอมและตารางธาตุ



2. พันธะเคมี



3. สมบัติของธาตุและสารประกอบ



4. ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี



5. ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส



6. อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี



7. สมดุลเคมี



8. กรด-เบส



9. ไฟฟ้าเคมี



10. ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม



11. เคมีอินทรีย์



12. เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์



13. สารชีวะโมเลกุล
                                   ชีวะ








https://www.youtube.com/watch?v=P4-cI4FsZ28

Cr.http://pantip.com/topic/31293988
http://www.dek-d.com/admission/26262/
http://websta.me/p/996923708030139464_1819549942